โดย admin | ก.ค. 15, 2021 | Laser, สาระน่ารู้
Q-switch คือ เลเซอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาฝ้า กระ รอยดำ และรอยแผลเป็น โดยหลักการทำงาน Q-switch ก็คือเป็นการใช้คลื่นแสงที่มีความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร บวกกับความหนาแน่นและความเข้มข้นสูง เพื่อทำให้เม็ดสีที่อยู่ภายใต้ชั้นผิวหนังกระจายตัวออก จากนั้นเม็ดเลือดขาว จะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดสีที่ผิดปกติ และขับออกจากร่างกาย
การทำ Q-switch จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการทำ Diode Laser เพราะมีคลื่นแสงมากกว่าถึง 8 เท่า โดยปกติแล้วการรักษาผิวหน้าด้วย Q-switch ให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุดควรรักษาต่อเนื่อง 3-6 ครั้ง และเข้ารับการรักษาทุกๆ 2 สัปดาห์ ทั้งนี้ก็คืออยู่กับสภาพผิวของผู้ที่รับการรักษาด้วย เนื่องจากบริเวณผิวที่แตกต่างกัน จะมีความตื้นลึกของเซลล์เม็ดสีไม่เท่ากัน
Q-switch เหมาะกับใคร ?
Q-switch เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องฝ้า กระ รอยแดง รอยดำจากสิว รอยแผลเป็น หรือ ต้องการที่จะลบรอยสัก นอกจากจะช่วยแก้ปัญหสผิวในข้างต้นได้แล้ว Q-switch ยังสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอย ช่วยให้ผิวเนียนใส และกระชับมากขึ้น
Q switch ทำงานอย่างไร
Q-Switch จะเข้าไปเลือกทำลายเฉพาะเซลล์เม็ดสีที่อยู่ในผิวชั้นลึก เม็ดสีที่ถูกทำลายแล้วจะแตกตัว และเกิดรอยดำหลังการรักษาในระยะเวลาเพียงแค่ประมาณ 1 เดือน หลังจากนั้นรอยดำต่างๆที่เกิดขึ้นจะค่อยๆจางลงและหายไปในที่สุด ควรรักษาอย่างต่อเนื่องอีก 4-8 ครั้ง ขึ้นอยู่กับสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ความลึกและเข้มของ กระ ฝ้า
3 ความสามารถพิเศษ ที่แตกต่างจาก Q-switch ทั่วๆ ไป
– Revital XT laser เป็นการยิงเลเซอร์ที่ออกแบบเป็นพิเศษ มาเพื่อเข้าสู่ผิวชั้นลึก เพิ่ม และสร้างสร้างคอลเลเจนใหม่ ช่วยให้รูขุมขนกระชับขึ้น ผิวเรียบเนียนขึ้น ลดปัญหาหน้ามัน และสิวชนิดเป็นๆ หายๆ
– Gold toning XT (595nm) เป็นช่วงคลื่นที่จับกับเม็ดเลือดแดง (Oxyhaemoglobin) ใช้รักษารอยแดงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรอยแดงจากสิว รอยฝ้าเลือด เส้นเลือดฝอยบนใบหน้า ช่วยลดการอักเสบของสิว และยังช่วยลดการกลับมาเป็นซ้ำของฝ้าได้ด้วย
– Ruvy touch XT (660nm) เพื่อรักษาเม็ดสีผิดปกติชนิดตื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการเกิดผลข้างเคียง รวมถึงช่วยลดระยะพักฟื้นผิวหน้าหลังทำการรักษา
Q switch ดีอย่างไร เป็นวิธีการรักษาที่สามารถรับบริการได้ทันที ไม่ต้องใช้ยาชา ขณะทำไม่เจ็บ และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
และยังเห็นผลได้ทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ท่านจะรู้สึกได้ถึงความเรียบเนียนและผิวที่ดูกระจ่างใสขึ้น
สุดท้ายการที่จะให้ผลลัพธ์ของการรักษาออกมาดีการดูแลหลังได้รับการรักษาก็เป็นสิ่งสำคัญ ภายหลังจากการฟื้นฟูผิวหน้าด้วย Q-Switch แล้วท่านสามารถกลับไปทำงานใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันทีภายหลังการรักษา แนะนำให้หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดๆประมาณ 1-2 สัปดาห์และป้องกันแสงแดดด้วยครีมกันแดด SPF 30 PA+ ขึ้นไปซึ่งปกป้องแสงแดดและมลภาวะได้ทั้งวัน เพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ภายหลังจากการรักษา
โดย admin | ก.ค. 15, 2021 | ร้อยไหม TR LIFT, สาระน่ารู้
PDO Thread Lift
การร้อยไหม ด้วยเทคนิคใหม่ล่าสุด โดยเข็มที่ถูกออกแบบมาพิเศษ ทำให้ช่วยลดความรู้สึกเจ็บ บวมช้ำ น้อยกว่าเข็มทั่วไปแต่เพิ่มประสิทธิภาพในการยกกระชับได้มากกว่า โดยการร้อยไหม PDO Thread Lift คือการผ่าตัดเล็ก เป็นการปรับรูปหน้าให้เรียวสวย โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และมีผลข้างเคียงน้อย ไหมที่ใช้ส่วนใหญ่เป็น “ไหมละลาย” ปัจจุบันส่วนใหญ่ทำมาจาก PDO ( Polydioxanone ) ก่อนจะมีการพัฒนาวัตถุดิบเป็น PCL และ PLLA ขึ้นอยู่กับจุดที่ใช้ซึ่งเนื้อสัมผัสจะแตกต่างกันออกไป โดย PDO เหมาะสำหรับยกกระชับ ดึงหน้า เนื่องจากเนื้อไหมมีความแข็งแรงที่สุด แต่หากเป็น PCL และ PLLA เนื้อสัมผัสจะนิ่มกว่า เหมาะสำหรับร้อยในจุดบอบบางอย่างเช่นใต้ตา หรือจมูกเป็นต้น ข้อดีของไหมละลายคือตัวไหมสามารถสลายไปได้ภายใน 6 -8 เดือน จึงไม่ต้องกังวลเรื่องสารตกค้างในร่างกาย
หลักการของการร้อยไหม คือ การใช้ไหมเส้นเล็กจำนวนมากมาร้อยเป็นเครือข่าย บริเวณใต้ผิวหนังที่ร้อยไหมเข้าไปจะถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ทำให้เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ มีผลทำให้เกิดการกระตุ้นเซลล์ที่มีหน้าที่สร้างเส้นใยคอลลาเจน ให้สร้างคอลลาเจนใหม่มาพันรอบแนวเส้นไหม มีผลให้เกิดการดึงรั้งผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าเต่งตึงและกระชับ พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงชั้นผิวหนังเพิ่มขึ้นด้วย
การร้อยไหมด้วยไหมละลาย ไหม PDO สามารถ ทำได้ทั้งในส่วนของใบหน้า ลำคอ มือ ตลอดจนลำตัว หน้าท้อง ทรวงอก ต้นแขน ต้นขา สะโพก หรือบริเวณต่างๆ ที่เสี่ยงต่อเซลล์ลูไลท์ ช่วยยกบั้นท้าย แก้ปัญหาคิ้วและหนังตาตก แก้ปัญหาคางสองชั้น มุมปากตก แก้มหย่อนคล้อย
อยากทำ PDO Thread Lift ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง?
ก่อนที่จะร้อยไหม เราจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะถึงวันร้อยไหมจริง ซึ่งก็คือการงดวิตามิน อาหารเสริม หรือน้ำมันตับปลา ยาจำพวกแอสไพริน อย่างน้อยควรจะ 1 สัปดาห์ก่อนจะทำการร้อยไหม และเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาขอคำแนะนำเกี่ยวกับการร้อยไหมเพื่อให้มั่นใจจริงๆว่าเราจะเข้ารับการร้อยไหมแน่ๆ ให้แพทย์ทำการประเมินรูปหน้าก่อนร้อยไหม เพราะจำนวนเส้นไหมที่ใช้ในการร้อยไหม แต่ละบุคคลอาจจะไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นอยู่กับโครงหน้าและปัญหาของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกันออกไป บางคนมีปัญหาเยอะก็อาจจะใช้จำนวนเส้นไหมมากหน่อย หรือบางคนอาจใช้เส้นไหมมากกว่า 1 ชนิดในการร้อยไหมเพื่อแก้ไขปัญหาและปรับรูปหน้าให้ได้ตามต้องการ
หลักการทำ PDO Thread Lift ใบหน้าของคุณจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง
– รูปหน้ากระชับ ผิวหน้าเต่งตึง
– สามารถยกกระชับ ปรับรูปหน้าได้ทันที
– กรอบหน้าชัด ใบหน้าเรียว V Shape
– ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนบนใบหน้า ทำให้ผิวหน้ายกกระชับ สดใส
– หน้ายกกระชับทันทีอย่างเห็นได้ชัดหลังจากการทำ
– ผลลัพธ์คงอยู่ได้ประมาณ 8-12 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลของแต่ละบุคคล
– หลัง ร้อยไหม ไปแล้ว ไหมจะค่อยๆ ละลายหมดไปเอง ไม่มีสิ่งตกค้างในร่างกาย
ประโยชน์ที่จะได้รับจากการ ร้อยไหมยกกระชับ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ สภาพพื้นฐานของผิวหนังแต่ละบุคคล,เทคนิควิธีการร้อยไหมของผู้เชี่ยวชาญ, การดูแลก่อนและหลังทำหัตถการ, การเลือกชนิดของไหมและเข็มที่ใช้
โดย admin | ก.ค. 15, 2021 | ร้อยไหม TR LIFT, สาระน่ารู้
ร้อยไหม PDO Thread Lifting เทคนิคนี้เป็นการช่วยให้ใบหน้าดูตึงกระชับ ไม่หย่อนคล้อย มีรูปหน้าเรียวและดูอ่อนกว่าวัย ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ของผู้ที่ไม่อยากเจ็บตัวจากการผ่าตัดทำศัลยกรรม ทั้งนี้ PDO Thread Lift จัดเป็นกรรมวิธีหนึ่งที่นำมายกกระชับหน้าที่เห็นผลเร็ว ช่วยให้รูปหน้าเรียวกระชับขึ้นหลังทำ ด้วยโครงสร้างของ Thread ที่มีตัวยึดจับเนื้อเยื่อที่มีความจำเพาะ อีกหนึ่งทางเลือกของการปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด และให้ผลลัพธ์นานประมาณ 1-2 ปี
ขั้นตอนการรักษาเป็นอย่างไร?
ก่อนการทำ PDO Thread lift แพทย์จะทายาชาบริเวณที่จะทำและฉีดยาชาเฉพาะบริเวณร่วมด้วย โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ขึ้นกับประเภทของ Thread และจำนวนเส้นไหม หลังการทำ Thread lift อาจเกิดการบวมช้ำเล็กน้อยซึ่งเป็นเรื่องปกติ ประมาณ 3-4 วัน รอยบวมช้ำจะจางหายไป
การเตรียมตัวก่อนการรักษาด้วย Thread lift
หยุดใช้ยาและสารที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดอย่างน้อย 1- 2 สัปดาห์
PDO Thread lift มีความปลอดภัยแค่ไหน?
PDO Thread (เส้นไหม) จะเป็นไหมละลายที่เรียกว่า PDO ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากองค์การอาหารและยา ใช้ในการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจมานานหลายปี มีความปลอดภัยสูง ไม่สร้างความเสียหายให้ผิวหนังรอบข้าง โดยเส้นไหมที่ใช้ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันจึงมีคุณสมบัติที่ดีขึ้น แข็งแรงมากขึ้น เล็กลง ยืดหยุ่นได้ดีขึ้น ที่สำคัญเส้นไหมจะสามารถย่อยสลายไปเองในระยะเวลาประมาณ 6 เดือน และซิลิโคนที่ใช้ในกลุ่มไหมบางประเภท (เช่น ข้อ 4 ข้อ 5 และข้อ 6) ก็เป็น medical grade silicone ที่ได้รับการรับรองให้ใช้ในวงการแพทย์ และวงการศัลยกรรมอย่างแพร่หลาย มีความปลอดภัย สำหรับการทำ Thread Lift จะร้อยลงไปในชั้นไขมัน จึงไม่สร้างความเสียหายให้ผิวส่วนบนแต่อย่างใด
ประโยชน์และข้อดีของ Thread lift
– กระตุ้นการสร้างคอลาเจนใต้ผิว ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวให้แข็งแรง
– ช่วยลดริ้วรอยและยกกระชับผิว
– ปรับหน้าให้เรียวขึ้น
– ช่วยปรับรูปจมูกให้ได้รูปตามต้องการ
– ช่วยยกหางตาตก ปรับแนวคิ้ว ยกมุมปากตก เสริมคางให้เรียว
– ช่วยให้การไหลเวียนพลังงานและโลหิตดีขึ้น
การดูแลหลังการรักษา
1. ยังคงต้องงดการใช้ยาและสารที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดต่อไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์
2. หลีกเลี่ยงการทำทรีตเมนท์ผิวหน้าทุกชนิดเป็นเวลาประมาณ 2 สัปดาห์
3. งดทายาหรือครีมที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ หรือกรดวิตามินเอ ประมาณ 2 สัปดาห์
5. สามารถล้างหน้า แต่งหน้าได้ ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น และวันรุ่งขึ้นก็สามารถไปทำงานได้ตามปกติ แต่ไม่ควรขยี้หน้า หรือถูหน้าแรงๆ
โดย admin | ก.ค. 15, 2021 | Laser, สาระน่ารู้
นอกจากการทำเลเซอร์เพื่อลดปัญหาริ้วรอย สิว ฝ้า ช่วยให้หน้าขาวใสแล้ว อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาผิว อย่าง IPL ก็ถือว่าได้รับความนิยมไม่แพ้กัน แล้วเพราะอะไรที่ทำให้ IPL กลายเป็นทางลัดสู่ความสวยในใจของใครหลายๆ คน เราไปหาคำตอบพร้อมๆ กัน!
IPL(Intensive Pulsed Light) คือแสงที่มีช่วงคลื่นแสงกว้าง ความยาวคลื่นเริ่มตั้งแต่ 420 นาโนเมตร ถึง 1,200 นาโนเมตร ซึ่งนับเป็นคลื่นแสงหลากหลายความถี่จึงรักษาปัญหาผิวหน้าได้ครอบคลุมมีประโยชน์ทั้งในด้านการลบริ้วรอย จุดด่างดำ และและรอยแดงต่าง ๆ จะใช้ความยาวคลื่นไม่เท่ากัน อีกทั้งยังสามารถกำจัดขนที่ไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย
ทั้งนี้ คลื่นแสง IPL จะกระจายตัวมากกว่าแสงเลเซอร์ และซึมเข้าไปยังชั้นผิวหนังแท้โดยไม่ทำลายหนังกำพร้าหรือผิวชั้นนอก ส่งผลให้ผิวหนังถูกทำลายน้อยกว่าการทำเลเซอร์ที่ยิงแสงออกมาเพียงช่วงความถี่เดียว IPL ใช้รักษาปัญหาผิวได้สารพัด ส่วนมากแล้ว IPL จะเน้นใช้รักษาปัญหารอยแดง รอยดำ หรือจุดด่างดำที่เกิดจากสิวเป็นหลัก รวมทั้งใช้ในการรักษาปัญหาผิวเหี่ยวย่น มีริ้วรอย รูขุมขนกว้าง หรือปรับสภาพสีผิวไม่สม่ำเสมอ ลดความหมองคล้ำ ทำให้ผิวดูขาวใสขึ้นได้
การปรับสภาพผิวแบบไม่มีแผลด้วย IPL ร่อยย่น ผิวบาง รอยดำ กระ เม็ดสีไม่สม่ำเสมอ หรือเส้นเลือฝอยขยาย เป็นลักษณะการแก่ของผิวซึ่งเกิดจากแสงแดดและปัจจัยภายนอกอื่นๆIPL เป็นเครื่องที่นิยมนำมาใช้ในการรักษาเพื่อทำให้ผิวอ่อนเยาว์ด้วยแสง (Photorejuvenation) เนื่องจากรักษาได้ทั้งความผิดปกติของเส้นเลือด เม็ดสี และความร้อนทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ จากการวิจัย ยังพบว่านอกจากสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่ ยังพบว่าการสลายของคอลลาเจนลดลงด้วย
อีกหนึ่งความมหัศจรรย์ของ IPL คือสามารถรักษาโรคทางผิวหนังได้
1.ช่วยลดรอยสิว รอยดำ จุดด่างดำ ฝ้า และกระบางชนิด
2.ช่วยลดรอยแดงต่าง ๆ เช่น รอยแดงจากสิว และรอยแดงจากแผลเป็นนูน
3.ลดเลือนริ้วรอยตื้น ๆ
4.กระชับรูขุมขน
5.กำจัดขน
6.รักษาสิว โดยทำร่วมกับการทาสารบางชนิดในการฆ่าเชื้อสิว
7.ปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ
8.ลดความหมองคล้ำ ผิวกระจ่างใสขึ้น
9.รักษารอยโรคของเส้นเลือด เช่น ปานแดงตั้งแต่กำเนิด, จุดเส้นเลือดขอด
IPL ใช้เวลาไม่นาน…ก็สวยได้ ในการทำ IPL จะใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที โดยทั่วไปจะเห็นผลเร็วหลังจากทำเพียง 1-2 ครั้ง และกลับมาทำซ้ำอีกทุกๆ 2 สัปดาห์ เพื่อให้การรักษาได้ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดูแลผิวหลังทำ IPL ไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด หลังการทำ IPL ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดประมาณ 1-2 สัปดาห์ หลีกเลี่ยงการขัดถูผิวแรงๆ บริเวณที่ทำ พร้อมกับทาครีมบำรุงผิวที่มีมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ และทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ
โดย admin | ก.ค. 15, 2021 | Botox, สาระน่ารู้
โบท็อกเกาหลีมีหลายยี่ห้อที่ผ่านการรับรองและจดทะเบียน อย. อย่างถูกต้อง แต่ที่ได้รับความนิยม คือ ยี่ห้อ Botulax และ Nabota ซึ่งถูกนำมาใช้ในหลายคลินิก และหากเปรียบเทียบราคากับโบท็อกจากฝั่งอเมริกาจะเห็นว่าราคาถูกกว่ามาก สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาริ้วรอยหรือปรับรูปหน้าได้อย่างเห็นผล
โบท็อกซ์เกาหลี คืออะไร?
โบท็อกซ์เกาหลี คือ ชื่อทางการค้าของสารสกัด “Botulinum toxin A” จากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า “Clostridium botulinum” ซึ่งผลิตในประเทศเกาหลี และได้รับความนิยมจนขายดีติดอันดับมาอย่างยาวนาน โบท็อกซ์เกาหลีมีคุณสมบัติเพื่อสำหรับเสริมความงามในการปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย รอยย่นบริเวณหางตา หน้าผาก กระชับผิว และกรอบหน้า ให้กรอบหน้าชัด ผิวสวยเต่งตึง รูขุมขนดูตื้นขึ้นจนสัมผัสได้
โบท็อกซ์เกาหลีต่างจาก ยี่ห้ออื่น ๆ ตรงที่มีการกระจายตัวของยาแคบ ควบคุมการฉีดได้ตรงจุด และแม่นยำ อีกทั้งยังมีการวิจัยรองรับว่ามีคุณภาพและปลอดภัย มีความบริสุทธิ์ของสารถึง 98-99% ที่สำคัญคือราคาถูกกว่ายี่ห้ออื่นอีกด้วย แถมยังมีอายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ 4-6 เดือน หรือยาวนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพผิว วิธีการดูแลและการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคลด้วย
โบท๊อกซ์เกาหลี ใช้ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง?
สามารถฉีดได้หลายจุด ทั้งบริเวณใบหน้าและร่างกายส่วนอื่น ๆ โดยสามารถฉีดได้ในบริเวณดังต่อไปนี้
- หน้าผาก เพื่อแก้ไขรอยเหี่ยวย่นจากการขมวดคิ้ว เลิกคิ้ว ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์เกาหลีบริเวณหน้าผากจะอยู่ได้นานกว่าส่วนอื่น ๆ เพราะไม่ค่อยได้ใช้งานมากนัก
- ระหว่างคิ้ว รอบดวงตา และหางคิ้ว เพื่อลดรอยย่น รอยตีนกา และแก้ปัญหาหางคิ้วตก
- โหนกแก้ม เพื่อช่วยให้โหนกแก้มเล็กลงได้
- ปีกจมูก เพื่อให้จมูกได้รูป และไม่บานออกเวลายิ้ม
- ปาก เพื่อลดริ้วรอย และแก้ไขมุมปากที่คว่ำ
- คอ เพื่อให้คอเรียว ไม่ดูตัน
- รักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เพื่อลดการทำงานของต่อมเหงื่อ สำหรับคนที่เหงื่อออกเยอะ
- น่อง เพื่อให้น่องเรียวเล็ก สวย ไม่ดูเป็นก้อนแข็ง
การดูแลหลังฉีดโบท็อกซ์เกาหลี
- หลังฉีดโบท็อกซ์ลดกราม ควรเคี้ยวหมากฝรั่งต่อเนื่อง 30 นาที เพื่อให้ตัวยาทำงานได้ดีขึ้น
- หลีกเลี่ยงการนวดหน้าประมาณ 1 สัปดาห์หลังฉีดโบท็อกซ์
- ไม่ควรให้ใบหน้าสัมผัสกับความร้อน ไม่ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น
- ไม่ควรไดร์ผมใกล้บริเวณที่ Botox
- ภายใน 2 สัปดาห์แรก ควรงดการอบไอน้ำ อบซาวน่า ยิงเลเซอร์ ทำ RF เพราะการสัมผัสความร้อนเฉพาะจุดเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อโบท็อกซ์ได้